เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ก.ย. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

นี่เวลาเกิดมา สังคมเป็นสภาวะแบบนั้นนะ แล้วเราเกิดในสังคมนะ ถ้าเราเกิดสังคมที่ดี เห็นไหม เหมือนปลา ปลาอยู่ในน้ำที่ดี ปลาในน้ำที่ดีชีวิตก็สดชื่น ปลาอยู่ในน้ำที่ไม่ปกติ มันก็ต้องดำรงชีวิตของมัน ถ้าปลาอยู่ในน้ำเสีย ปลาตายเลย

สังคมก็เหมือนกัน เวลาสังคมเป็นสภาวะแบบนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ “ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่นะ” ทุกดวงใจเลยว้าเหว่ คำว่าดวงใจว้าเหว่ แต่ถ้าเรากิเลสหนา เราจะไม่เห็นความว้าเหว่ไง เราสนุกครึกครื้นในชีวิต ชีวิตเราจะสนุกครึกครื้นมาก เราจะมีความสุขมาก ว่าสิ่งนี้เป็นความสุขไง

แต่เวลาคนเราถึงที่พลัดพรากนะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาพลัดพรากที่สุดจะคอตกหมดเลยนะ จะคอตกเพราะอะไร เพราะว่าไม่รู้ไปข้างหน้าเป็นอย่างไรไง แต่ถ้าคนมีบุญกุศลสะสมมา เห็นไหม นี่โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ เราสะสมของเราไปเรื่อยๆ เราสะสมของเราไปนะ จิตใจมันจะมั่นคงของมัน

ถ้าคนออกจากบ้าน จิตต้องออกจากกายด้วยกันทั้งหมด คนหนึ่งออกพร้อมกับเสบียงไปพร้อมเลย มันพร้อมที่จะไปนะ คนหนึ่งไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้อะไรเลยแต่ต้องไป เห็นไหม นี่โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ เราต้องรักษาสภาวะแบบนั้น

นี่สังคม สัตว์สังคมไง เราเกิดในสังคมไหน เห็นไหม สัปปายะ สิ่งที่เป็นสภาวะอย่างนี้มันเป็นบุญกุศลของเรา ถ้าเราเกิดสภาวะแบบนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่า “มนุษย์โง่กว่าสัตว์” เพราะสัตว์มันยังมีอิสรภาพเสรีของมัน มันอยู่ตามชีวิตของมัน นี่แค่เปรียบเทียบนะ แต่สัตว์มันก็ทุกข์ร้อนของมันเพราะอะไร?

เพราะคนเกิดมา สัตว์เกิดมามันต้องหาอาหารจุนเจือชีวิตทั้งนั้นแหละ มันก็เดือดร้อนของมัน แต่เป็นการเปรียบเทียบไงว่ามันจะทำอะไรของมันก็ได้ แต่มนุษย์โง่กว่าสัตว์ เห็นไหม ตั้งกติกาขึ้นมา พอตั้งกติกาขึ้นมาเป็นกฎหมาย กฎหมายนะ ถ้าเราสร้างกฎหมาย กฎหมายนี่มันเปลี่ยนแปลงได้ แต่การสะสมเราออกไปเป็นประเพณี

ดูทางอินเดียเขาสิ ประเพณีของเขานะ เวลาสามีตายนี่ภรรยาต้องโดดเข้ากองไฟ เป็นประเพณีก็ยังทำกันอยู่ ออกกฎหมายบังคับก็ยังมีคนพอใจทำ แล้วพอทำแล้ว เขาสร้างอนุสาวรีย์ไว้ให้เลย เห็นไหม เขาชื่นชมกันไง เขาชื่นชม นี่ประเพณีความเชื่อ สิ่งที่ความเชื่อนะ ประเพณี ถ้าความเชื่อของสังคมมันยิ่งกว่ากฎหมายนะ เพราะมันผิดความรู้สึกของสังคมทั้งหมดเลย สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากไหนล่ะ เกิดขึ้นมาจากการสะสม เกิดขึ้นมาจากความเป็นไป เห็นไหม สิ่งที่เป็นไป สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา แล้วเราเกิดขึ้นมา เราอยู่ในอย่างนั้น เห็นไหม นี่เรื่องของโลกๆ เลย

แต่ธรรมล่ะ ธรรมเหนือโลกนะ นี่ความถูกต้องดีงาม เห็นไหม เพราะสิ่งนี้ อย่างนี้โลกมันเป็นไป กระแสสังคม กระแสของโลกว่าเป็นประชาธิปไตย ถ้าใครเป็นประชาธิปไตยต้องสิทธิเสมอภาคไง สิทธิเสมอภาคแต่ถ้ามีคนทุจริต มันก็หันเหตักตวงผลประโยชน์นั้น เห็นไหม นี่ธรรมเหนือโลกไง

ถ้าสภาวธรรมนี่ธรรมเหนือโลก เขาถึงว่าคนเราคนนอก ผู้ที่ไม่เชื่อประชาธิปไตยเป็นคนนอก เชื่อประชาธิปไตยแต่ประชาธิปไตยโดยธรรมนะ ธรรมาธิปไตย ถ้าหัวหน้าเป็นธรรม ผู้ที่เป็นผู้นำเป็นธรรมจะมีความสุข ร่มเย็นเป็นสุขมาก แต่ผู้ที่ไม่เป็นธรรม นี่ผลของกรรมไง กรรมมันให้ผล

ถ้ากรรมให้ผลนะ เขาจะดื้อดึงขนาดไหนนะ แต่กรรมมันให้ผล ถ้ากรรมมันให้ผลอย่างนั้น แล้วมาเรียกร้องเอาอะไรล่ะ สิ่งที่เรียกร้อง เห็นไหม ว่าเป็นคนนอก คนนอกมี ๒ ประเด็น ถ้าสังคมนั้นเลวมาก สังคมนั้นเป็นสิ่งที่ว่ามีแต่การเห็นแก่ตัว เราไม่เห็นกับเขา เรากบฏกับสังคม มันก็เป็นคนนอกแต่คนนอกโดยธรรมไง

แต่ถ้าสังคมเป็นอย่างนั้น สังคมมันเหลวแหลก สังคมที่ว่าสิ่งนี้เรื่องของโลก โลกเป็นใหญ่ๆ ธรรมเป็นใหญ่ก็โลกเป็นใหญ่ ถ้าโลกเป็นใหญ่โลกต้องมีกระแสโลก เพราะโลกเป็นใหญ่ เพราะเราเป็นโลกเราถึงเชื่อโลก เชื่อกระแสไป มันถึงต้องเข้าการค้าเสรีไง การค้าเสรีจริงๆ มีไหม? ไม่มี โลกนี้ไม่มีความเสรีจริง คนที่มันเห็นแก่ตัว คนที่เอาเปรียบเขา ที่ไหนมีเสรี เห็นไหม ปล้นด้วยกระสุน ปล้นด้วยทุน ปล้นทุกอย่าง ปล้นต่างๆ นี่

แต่มันถ้าพูดถึงเรื่องของโลกก็เป็นการตลาด เป็นการแลกเปลี่ยน นี่ก็พูดให้สวยงาม ใครจะสวยงามล่ะ ถ้าไม่พอใจก็ล้มกระดานนั้นซะ แล้วก็การค้าเสรี การค้าเสรี.. แล้วเราบอกนี่ประชาธิปไตย เราต้องเข้าไปในกระแสโลกไง แต่ถ้าเรามีจุดยืน เห็นไหม นี่ธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสมอนะ เสมอกันด้วยธรรม แม้แต่อย่าว่าเสมอกันในโลกนี้เลยนะ ในวัฏฏะ เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เทศนาว่าการ พุทธกิจ ๕ ออกบิณฑบาต เทศน์สั่งสอนคฤหัสถ์ หัวค่ำสั่งสอนพระ พอดึกเข้าไปนะเทศน์เทวดา เช้าออกเล็งญาณ เล็งญาณว่าผู้ที่มีอำนาจวาสนา ผู้ที่มีอำนาจวาสนานะแล้วเสี่ยงภัย เอาคนนั้นก่อนไง เพราะผู้มีวาสนามีมาก ถ้าคนไหนมีโอกาสก็เอาไว้ก่อน

คนที่เสี่ยงภัย เห็นไหม แบบองคุลิมาล ถ้าช้าอีกแค่เสี้ยววินาที ถ้าได้ฆ่าแม่แล้วหมดโอกาสเลย แต่เพราะยังไปทรมานได้ก่อน ใครที่มีโอกาสแล้วเสี่ยงภัย เอาคนนั้นก่อน เอาคนนั้นก่อน เสมอภาคไหม? เสมอภาคไหม? แล้วเป็นธรรมไหม? ยิ่งกว่าธรรมอีกนะ

ถ้าธรรมเหนือโลกนะ มีสภาวะแบบนั้นเลย สิ่งต่างๆ โลกนี้มันเป็นธรรม สภาวธรรมตั้งแต่โลกนี้ สภาวธรรมตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมนี่สั่งสอนได้หมดเลย นี่เสมอภาคกันหมดเลย เสมอภาคตรงไหน เสมอภาคโดยอริยสัจไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์.. สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ทุกข์หมดเลย พรหมก็ทุกข์ ไปนอนอยู่บนพรหม เห็นไหม นี่ผัสสะ ผัสสาหาร อยู่ด้วยผัสสะ เสวยอยู่อย่างนั้นนะ แล้วมันทุกข์ไหมล่ะ?

เวลาเรามีความสุขนะ สังเกตขณะที่ว่าเวลาเรามีความสุข เราคิดถึงใคร? เราคิดถึงใคร? ถ้าไม่คิดถึงใครก็คิดถึงตัวเอง ความอาลัยอาวรณ์นะ ไม่มีสิ่งใดเลย สิ่งที่ปรนเปรอเรา ปัจจัยเครื่องอาศัยทุกอย่างปรนเปรอเราตลอดเวลาเลย แต่เราก็คิดถึงเรานะ กลัวพลัดพราก สิ่งนี่อยากให้อยู่กับเราตลอดไป

ความอาลัยอาวรณ์ไง พรหมนะไม่มีสิ่งใดกระทบเลย แต่หัวใจเป็นอย่างนั้นไง กิเลสของพระอนาคานะ พระอนาคานี่ไม่มาเกิดอีกแล้ว บนพรหมนี่ กิเลสในพระอนาคามีอะไรบ้าง เพราะยังไม่สิ้นกิเลสมีกิเลสทั้งนั้นนะ สิ่งที่กิเลสมันเป็นความทุกข์ของใจไง

ถ้าเป็นความทุกข์ของใจอย่างนี้ ถึงบอกว่ามันเป็นอริยสัจ มันเป็นความทุกข์แล้วไม่มีใครรู้ ถึงมาฟังธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ทุกข์ควรกำหนด” แม้แต่พรหมก็ทุกข์ แม้แต่เทวดา อินทร์ พรหมทุกข์หมดเลย แม้แต่เป็นทิพย์ก็ทุกข์ ทุกข์ๆ ทั้งนั้นแหละ

นี่เสมอภาคตรงนี้ไง ถ้าเสมอภาค ตั้งแต่อัครสาวก ตั้งแต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว มันยิ่งกว่าเสมอภาคนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ ไม่มีพยาน เสวยวิมุตติสุข แล้วออกมาเผยแผ่ก่อน เอาปัญจวัคคีย์ก่อน สงฆ์ ๖๑ องค์ เห็นไหม พ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์

บ่วงที่เป็นทิพย์ เทวดา อินทร์ พรหมนี่บ่วงที่เป็นทิพย์ สิ่งที่มันเป็นทุกข์อยู่เพราะมันมีบ่วงอันนั้น สิ่งที่เป็นทิพย์อันนั้นมันเป็นความทุกข์อันละเอียดอันนั้น บ่วงที่เป็นโลก สิ่งที่โลก โลกที่ว่าเขาสรรเสริญเยินยอกันนั้นนะ นี่พ้นออกไปหมด นี่เสมอภาคตรงนี้ไง นี่ธรรมาธิปไตยไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับสงฆ์ ๖๑ องค์นะเสมอกัน เห็นไหม เสมอกันโดยความรู้สึก เสมอภาคกันหมดเพราะอะไร

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” จิตนี้วิมุตติสุขเหมือนกันหมดเลย แต่อำนาจวาสนาบุญญาบารมี เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างขึ้นมา ๔ อสงไขยแสนมหากัป เหมือนกับผู้ที่สร้างสมบุญญาธิการ นี่เรื่องของโลก เรื่องของอำนาจวาสนาบารมีเป็นเรื่องของโลกนะ

ดูสิ ดูอย่างประชาธิปไตย เห็นไหม คนละ ๑ เสียง แล้ว ๑ เสียงนี่มันแตกแถวได้ไหมล่ะ ๑ เสียงมันแตกแถวไม่ได้ มันอยู่ที่เสียงใหญ่ที่ควบคุมมันอยู่ ๑ เสียงเหมือนกัน แต่กำปั้นใหญ่กำปั้นเล็กมันก็ยังมีนะ หัวหน้ามุ้งนี่เสียงมันใหญ่กว่า เสียงเหมือนกันแต่มันใหญ่กว่า

แต่เวลาก็อ้างกันไป กะล่อนกันไปนะ โลกนี่กะล่อนกันไปนะ ไม่ยอมรับความจริง แล้วเราก็จะเข้าไปกระแสโลก ถึงจะเป็นคนนอก นอกเพราะศาสนา นอกเพราะคุณธรรมในหัวใจ เพราะเขาทำความชั่วของเขา เขาทำความผิดพลาดของเขา กรรมนั้นให้ผลของเขาแล้ว ถ้ากรรมให้ผลของเขาแล้วมันมีความเป็นไป

แต่ถ้าว่าอย่างประเทศที่ว่ามั่นคงไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีการยึดอำนาจ สิ่งนั้นมันคงที่ไหม ดูสิ ดูมหาอำนาจในโลก มันผลัดเปลี่ยนมากี่ยุคกี่สมัย มหาอำนาจเมื่อก่อน เห็นไหม โปตุเกสเป็นมหาอำนาจต่างๆ สเปนนี่ เดี๋ยวนี้มันเป็นมหาอำนาจไหม?

ที่ว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วไม่มีการล้มล้าน่ะ อยากจะดูนัก อยากจะดูนักนะ เพราะอะไร เพราะว่ามันถึงที่สุดนะอำนาจมันจะเคลื่อนไป ลมการเมืองจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา สัตว์สังคม สัตว์ของโลก สัตว์การเมือง แต่ถ้าเราไปตาม ที่ว่าการค้าเสรีมีจริงหรือเปล่า มันไม่มีจริงหรอก

นี่ก็เหมือนกัน เพราะว่าสิ่งใด เพราะมันเป็นเรื่องของกรรมไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เห็นไหม มงคลชีวิต เกิดในประเทศอันสมควร ถ้าเราเกิดในประเทศอันสมควรนะ เราเกิดในประเทศของธรรม เราพอใจแล้ว ใครจะว่าการอย่างไรแล้วแต่ มันกระแส เห็นไหม เมื่อก่อนยึดประเทศกันด้วยเรือปืน เดี๋ยวนี้ยึดประเทศกันด้วยทุน นี่มันเป็นกระแสอย่างนี้ตลอดไป

แล้วเราเกิดในสังคม สังคมสภาวะแบบไหน แล้วเดี๋ยวนี้พอสังคมเจริญขึ้นมา นี่ค่าของความสุข ค่าของความเป็นไป ถ้าเรารักษาประเทศชาติของเรา เรามีความสุขของเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” สอนที่ตนก่อน เรานี่เอาความสุขของเราก่อน ในหลวงบอก “ให้เศรษฐกิจพอเพียง” มันยั่งยืนไง

ถ้าเรานะ เรามีอาหาร เรามีปัจจัยเครื่องอาศัย เรารักษาชีวิตของเราได้ แล้วเรารักษาใจของเราได้ ไม่ตื่นเต้นไปกับเขานะ ในทางการเมืองของเขา เขาต้องเอาสิ่งนี้ออกก่อน เห็นไหม ต้องยึดหัวใจก่อน ประชาสัมพันธ์ไปก่อน สิ่งต่างๆ ไปก่อน แล้วก็ว่าเป็นอย่างนั้นไป

ถ้าเราไม่ตามสิ่งนั้นไป เรามีจุดยืนของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ เห็นไหม ให้มีจุดยืนของเรา ให้มีศีล ให้มีความปกติของใจ ถ้ามีปกติของใจ มือเรานี่ตบมือข้างเดียว เขาจะสื่อขนาดไหนนะ มือเราไม่ไปตบกับเขา มันไม่ดังหรอก แต่ถ้าหัวใจมันว้าเหว่ จิตใจด้อยพัฒนา นี่คนนอก สิ่งต่างๆ..

จะด้อยพัฒนาขนาดไหน ด้อยขนาดไหนทำไมเอ็งอยากมาเที่ยวล่ะ เอ็งอยากมาดูสิ่งที่วัฒนธรรมอย่างนี้ล่ะ วัฒนธรรมสิ่งนี้มันจะด้อยตรงไหนล่ะ เขามีคุณธรรมของเขา เขารักษาของเขามาได้ ของผู้ที่มานี้ผู้ว่างเปล่าไง ไม่มีราก สังคมไม่มีราก สังคมเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาจับกัน ไม่มีรากแล้ววิทยาศาสตร์มันเปลี่ยนไปเลยไง

แต่สังคมของเรามีรากไง สังคมมีรากเพราะอะไร เพราะเราเกิดในประเทศอันสมควร เห็นไหม ประเทศอันสมควรจากภายนอก ประเทศสมควรจากภายในหัวใจ ถ้าหัวใจเรามีหลักมีจุดยืนของเรานะ ประเทศอันสมควร จะไม่ตื่นเต้นไปกับสิ่งนี้เลย สิ่งนี้มันว่ากันไปนะ กฎกติกานั้นเรื่องของโลก

นี่มนุษย์โง่กว่าสัตว์ตรงนี้ไง สร้างกติกาสังคม แต่เพราะกติกาสังคม เห็นไหม เหมือนพระเลย ธรรมและวินัย เราต้องมีกติกา เพราะอะไร เพื่อจะให้คนที่มันเกเรออกนอกลู่นอกทางอยู่ในลู่ในทาง แต่คนที่ดีอยู่ในลู่ในทางแล้ว ธรรมและวินัยนี่มันเป็นสมมุติ ภิกษุ เวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว ธรรมและวินัยนี่ วินัยนี่เป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติ เวลาพ้นออกไปเป็นสภาวธรรม ที่พ้นออกไปเป็นสมมุติบัญญัติก็เป็นกรอบ เพราะเราไปติดสมมุติบัญญัติกัน

แล้วเราไปศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมๆๆ ที่ว่าเป็นพระสูตร พระอริยบุคคลต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วจินตนาการไปนะ จินตนาการไปเลย จนพระอรหันต์ต้องเป็นพระพุทธรูป ขยับไม่ได้เลย หายใจก็ไม่ได้ หายใจผิด หายใจไม่ใช่พระอรหันต์เพราะอะไร เพราะท้องมันกระเพื่อม

นี่เราจินตนาการไปเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาออกไปฉันในบ้าน เคลื่อนไหวไปเป็นอย่างนั้นตลอดไป แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์เดียวที่ละจริตละนิสัยได้ ตั้งแต่พระสารีบุตรลงมาก็ละไม่ได้

แต่เวลาธรรมวินัย เราอ่านกัน เราวิจัยกัน เราศึกษากันจนเป็นกรอบ จนปฏิบัติไม่ได้เลยล่ะ แต่ถ้าเราปล่อยไปตามธรรมชาติ เราศึกษาของเราไป สันทิฏฐิโก ธรรมเกิดตรงนี้ไง อ๋อ..เป็นอย่างนี้เอง เป็นอย่างนี้เอง แล้วมันยิ่งลึกซึ้งนะ ลึกซึ้งมากเลย จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “จะสอนใครได้ จะสอนใครได้”

สอนความรู้สึกอันนี้ไง ความรู้สึกอันนี้มันเข้าใจ มันเห็นของมัน แล้วมันปลดเปลื้องกิเลสของมัน เหมือนเดิมนะ มันเหมือนเดิม พอปลดเปลื้องกิเลสแล้วเหมือนบ้านเรา บ้านเรานี่คือบ้านหลังนี้ ตั้งแต่เด็กมาเราก็อยู่บ้านหลังนี้ แก่ก็อยู่บ้านหลังนี้ ชราภาพก็อยู่ในบ้านหลังนี้

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นโลกๆ อยู่ เป็นวัตถุอยู่ เป็นปัจจัยมันก็เป็นอย่างนี้ แต่คนๆ หนึ่งกิเลสเต็มหัวใจเลย แต่ถ้าปฏิบัติสิ้นกิเลสแล้วก็คนเหมือนกันนี่แหละ ไม่อย่างนั้นจะมีบุคคล ๘ จำพวกได้อย่างไร เห็นไหม โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล เห็นไหม ๘ จำพวก หัวใจมันพัฒนาขึ้นไป ถึงที่สุดนะ หัวใจนี่สิ้นกิเลส แต่ก็อยู่ในร่างเดิมนี่ เหมือนกับธรรมดานี่แหละ แต่หัวใจเข้าใจจริง

สิ่งนี้มันไม่มีในตำราไง ตำรามันไม่มีมันถึงพิสูจน์กันไม่ได้ ถึงโต้เถียงกันอยู่ตลอดไป เห็นไหม แล้วเราไปศึกษาเข้าเราก็เชิดชูไง เพราะเราศาสนาพุทธเชิดชู พระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นพระพุทธรูป ขยับไม่ได้เลย พระอรหันต์เวลาแสดงออกไป โอ้โฮ..โมโหโทโสนะ

นั่นนะกระแสของธรรม กระแสของธรรมนะ ฝนตกฟ้าร้องชุ่มชื่นชุ่มช่ำ พืชไร่นามันจะออก พืชพรรณธัญญาหารให้เราได้ดำรงชีวิตนะ แล้วเราก็ปฏิเสธไง เวลามันแล้งขึ้นมาก็ขอฝนกัน ขอกันไง เวลาแห่นางแมวกันนะ เอาแมวไปขอฝน

แต่ถ้าเจอธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้าสังคมนั้นอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ถ้าสังคมนั้นไม่ดูแลพ่อแม่ ไม่เคารพผู้ใหญ่ สังคมนั้นจะวิปริต สังคมนั้นจะเปลี่ยนแปลง เห็นไหม นี่ธรรม สภาวธรรม ไม่ต้องไปแห่นางแมวขอฝนหรอก เราอยู่ในคุณธรรมกัน แล้วฝนจะตกต้องตามฤดูกาล แล้วชีวิตเราจะราบรื่น เราจะมีความสุขของเรา โลกจะว่าคนนอกคนในเรื่องของโลก เราจะอยู่ของเราประสาของชาวพุทธเรา เอวัง